การทำธุรกิจต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อคนเราเริ่มมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าหรือบริการ จากระดับพื้นฐานที่ผู้คนตั้งร้านค้าชุมชน จนมาถึงการก่อร่างสร้างตัวเป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่ ทำให้เกิดเป็นโมเดลทางธุรกิจขึ้นมา และจำเป็นต้องมีการตั้งชื่อย่อและคำจำกัดความของรูปแบบทางธุรกิจตามที่เกิดขึ้นจริง เช่น B2B, B2C เป็นต้น แล้ว B2B / B2C คืออะไร และทำไมต้องมีการตีกรอบรูปแบบดังกล่าวเพื่อประโยชน์อะไร
B2B ย่อมาจาก Business to Business คือ รูปแบบทางธุรกิจที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเอง โดยเป็นการส่งมอบสินค้าหรือบริการระหว่างกัน และมักจะยังไม่ใช้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่จะถึงมือผู้บริโภค ในภาพใหญ่จะเห็นว่าแต่ละผู้ประกอบการจะมีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันไป เช่น ในคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ต้องสั่งซื้อ CPU จากบริษัทหนึ่ง และสั่งซื้อ RAM จากอีกบริษัทหนึ่ง ส่วนกระจกหน้าจอ LED ก็ต้องใช้ความเชี่ยวชาญจากอีกบริษัทหนึ่ง รวมไปถึงระบบปฏิบัติการก็ใช้อีกบริษัทหนึ่ง หรือเป็นสินค้าง่าย ๆ อย่างปากกา ก็อาจจะมีผู้ประกอบการหลายรายที่มีส่วนร่วมในปากกาด้ามหนึ่ง เช่น หัวลูกลื่น ไส้ปากกา สปริง และด้ามพลาสติก ก็เป็นไปได้ที่จะมาจากบริษัทที่ต่างกัน หรืออย่างโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนก็เช่นกัน ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของบริษัทผู้ผลิตเลนส์กล้องถ่ายภาพมาร่วมมือกัน ถ้าเข้าใจแนวคิดนี้ก็จะเริ่มมองเห็นความสัมพันธ์แบบ B2B นี้ในสินค้าทุกชิ้น
B2C ย่อมาจาก Business to Customer คือ รูปแบบทางธุรกิจที่มีการส่งมอบสินค้าจากผู้ประกอบการถึงมือผู้บริโภคโดยตรง เช่น การกินอาหารในร้านอาหารตามสั่ง การซื้อทองรูปพรรณจากร้านขายทองคำ การเดินเข้าร้านสปานวดหน้า หรือการเข้าใช้บริการด้านสุขภาพในโรงพยาบาลและคลินิก หรือที่เห็นได้ชัดเจน อย่างเช่น การซื้อรถยนต์ การซื้อคอนโดมิเนียม การซื้อประกันภัย เป็นต้น ดังนั้นการซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ ถ้าพิจารณาจากมุมมองของผู้บริโภคแล้ว ก็จะเป็น B2C เสมอ
หลังจากทราบว่า B2B / B2C คืออะไร ตามที่กล่าวมาแล้ว ควรทราบถึงประโยชน์ของการจัดรูปแบบทางธุรกิจว่ามีข้อดีอะไรบ้าง ซึ่งประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการวางแผนกิจกรรมทางการตลาดที่เหมาะสม เนื่องจากทั้ง B2B และ B2C นั้น ต้องก่อให้เกิดผลกำไรกับผู้ประกอบการ ทำให้ต้องมีการคิดกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จทางธุรกิจ เช่น ถ้าเป็น B2B ผู้ประกอบการเองต้องสร้างเว็บไซต์แบบใด ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง ต้องประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างไรในการสื่อสารถึงผู้ประกอบการรายอื่นให้เกิดความเชื่อมั่นและเกิดคำสั่งซื้อและสร้างสัมพันธ์ที่ดีเป็นคู่ค้าร่วมกันในระยะเวลายาวนาน แต่ถ้าเป็นแบบ B2C การนำเสนอธุรกิจและวางแผนการตลาดจะต้องใช้เทคนิคที่แตกต่างไปจาก B2B เพราะเป็นการจูงใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคโดยตรง ภาษาที่ใช้ กราฟิกและภาพที่สื่อออกไป จะต้องกระตุ้นให้เกิดการซื้อจากผู้บริโภคให้ได้ท่ามกลางคู่แข่งรอบด้าน เช่น การทำภาพสื่อถึงสินค้าที่เข้าใจง่าย สะดุดตา การใช้ถ้อยคำโฆษณา จะต้องจูงใจผู้บริโภคโดยตรง แต่ถ้าจะขายชิ้นส่วนขวดนมให้บริษัทผู้ผลิต จะต้องสื่อสารด้วยภาษาและภาพที่แตกต่างออกไป เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่าเป็นมืออาชีพ เช่น การเผยแพร่เอกสารงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
ผู้ประกอบการจึงต้องทราบถึงนิยามว่า B2B / B2C คืออะไร เพราะเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องมีทั้งสองรูปแบบธุรกิจในบริษัทเดียวกันก็เป็นได้ เช่น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์และขายรถยนต์ ต้องติดต่อกับทั้งผู้ประกอบการด้วยกันเอง และนำเสนอขายสินค้าให้กับผู้บริโภคไปด้วย ดังนั้นจึงควรเรียนรู้เทคนิคและวิธีของทั้ง B2B และ B2C เพื่อเลือกใช้วิธีทางการตลาดที่เหมาะกับคู่ค้า