SLA (Service Level Agreement) คืออะไร ร้านค้าออนไลน์ต้องรู้ไว้!

SLA (Service Level Agreement) คืออะไร ร้านค้าออนไลน์ต้องรู้ไว้!

Table of Contents

Key Takeaway

  • SLA (Service Level Agreement) คือ ข้อตกลงระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ที่กำหนดระดับการให้บริการที่ผู้ให้บริการต้องรักษาไว้
  • SLA นั้นประกอบไปด้วยหลายองค์ประกอบสำคัญ เช่น ภาพรวมข้อตกลง คำอธิบายการบริการ มาตรฐานด้านความปลอดภัย ข้อตกลงการติดตามและการรายงานบริการ เป็นต้น
  • SLA มีหลายระดับ ทั้งระดับลูกค้า ระดับการบริการ และ SLA หลายระดับ
  • การทำ SLA ใน e-Commerce สามารถสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้า พัฒนาการให้บริการลูกค้า ปกป้องทั้งร้านค้า และลูกค้า
  • การจัดการและปฏิบัติตาม SLA อย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SLA มอง SLA ในหลากหลายมิติ ทำตาม SLA ด้วยใจจริง และอย่าให้ SLA มาบดบังวิสัยทัศน์การทำงาน
  • คะแนนที่ต่ำยังสามารถลดความเชื่อมั่นของลูกค้าใหม่ในการเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้านั้น และอาจทำให้ร้านค้าพลาดโอกาสในการเข้าร่วมโปรโมชันหรือข้อเสนอพิเศษจากแพลตฟอร์มนั้นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น Lazada Shopee หรือ TikTok Shop

ในโลกของธุรกิจ e-Commerce ที่การแข่งขันสูง การมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ หากต้องการเพิ่มยอดขาย และเพิ่มการรับรู้ให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ SLA (Service Level Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงระดับการบริการที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้า แต่สิ่งแรกที่ควรทำคือ ควรทำความเข้าใจ SLA ให้ดี มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

SLA (Service Level Agreement) คืออะไร

SLA (Service Level Agreement) คืออะไร

ข้อตกลงระดับการบริการ หรือ SLA (Service Level Agreement) คือข้อตกลงระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ที่กำหนดระดับการให้บริการที่ผู้ให้บริการต้องรักษาไว้ เช่น ระยะเวลาการตอบสนองต่อปัญหา การรับประกันการทำงานของระบบ และการให้บริการในด้านต่างๆ เป็นต้น โดยในธุรกิจ e-Commerce SLA มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยเฉพาะการรับประกันการส่งสินค้าตรงเวลา และระดับความแม่นยำในการจัดการออเดอร์

จะเห็นได้ว่าการมี SLA ที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการเลือกใช้บริการ ส่งผลให้ธุรกิจสามารถสร้างยอดขายและความไว้วางใจในระยะยาวได้อีกด้วย

SLA ประกอบด้วยอะไรบ้าง

SLA ประกอบด้วยอะไรบ้าง

SLA (Service Level Agreement) หรือข้อตกลงระดับการบริการนั้นประกอบไปด้วยหลายองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สามารถกำหนดและวัดระดับการบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

  • ภาพรวมข้อตกลง : ส่วนนี้ประกอบด้วยวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดของ SLA ข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และภาพรวมของบริการที่ครอบคลุมในข้อตกลง
  • คำอธิบายการบริการ :ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการบริการที่รวมอยู่ใน SLA เช่น เวลาตอบสนอง เทคโนโลยีที่ใช้ ตารางการบำรุงรักษา และกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
  • มาตรฐานด้านความปลอดภัย : ทั้งผู้ให้บริการและลูกค้าจะต้องปฏิบัติตามมาตรการและโปรโตคอลความปลอดภัย รวมถึงข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) และข้อตกลงต่อต้านการรุกล้ำ
  • ข้อตกลงการติดตามและการรายงานบริการ : ส่วนนี้ตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่ายเกี่ยวกับตัวชี้วัดประสิทธิภาพ โดยลูกค้าจะติดตามประสิทธิภาพการบริการทั้งก่อนและหลังใช้บริการผู้ให้บริการรายใหม่
  • วัตถุประสงค์ระดับการให้บริการ (SLO) : ข้อตกลงที่กำหนดใน SLA เกี่ยวกับเมตริกสำคัญ เช่น เวลาตอบสนองหรือเวลาทำงาน โดยใช้ข้อมูลสนับสนุนเมตริกเหล่านี้ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ
  • กระบวนการสิ้นสุด : กำหนดระยะเวลาแจ้งล่วงหน้า และระบุเงื่อนไขที่อนุญาตให้ยกเลิก หรือให้ข้อตกลงหมดอายุ
  • การยกเว้น : ระบุถึงข้อยกเว้นและเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายตกลงไว้ร่วมกัน
  • บทลงโทษ : ชี้แจงบทลงโทษทั้งทางการเงินหรือในรูปแบบอื่นๆ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลง SLA ได้
  • การตรวจสอบและเปลี่ยนแปลงข้อตกลง : การตรวจสอบ SLA และตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI) อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ และการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดสำคัญจะต้องบันทึกไว้ในข้อตกลง
3 ประโยชน์ของการทำ SLA ใน e-Commerce

3 ประโยชน์ของการทำ SLA ใน e-Commerce

การทำ SLA (Service Level Agreement) ใน e-Commerce นั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด! มาดูกันว่าการมี SLA นั้นมีประโยชน์ ใน e-Commerce อย่างไรบ้าง ดังนี้

1. สร้างความไว้วางใจให้ลูกค้า

หนึ่งในประโยชน์สำคัญของการมี SLA (Service Level Agreement) ที่ดีคือการสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า เพราะการกำหนดข้อกำหนด และมาตรฐานการให้บริการอย่างชัดเจนนั้นจะทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจว่า ผู้ให้บริการจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ตกลงไว้ 

อย่างไรก็ตาม หากบริการไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ลูกค้าสามารถเรียกร้องความรับผิดชอบ และได้รับการแก้ไขตามข้อตกลงที่ระบุไว้ได้เสมอ ดังนั้น การมี SLA ที่ชัดเจนช่วยลดความไม่แน่นอน และลดความเสี่ยงในการให้บริการ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการคุ้มครอง และการดูแลที่ดี

2. พัฒนาการให้บริการลูกค้า

SLA (Service Level Agreement) ใน e-Commerce สามารถพัฒนาการให้บริการลูกค้าได้ ซึ่งทำให้ทั้งผู้ให้บริการและลูกค้ามีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับความคาดหวังและข้อผูกพันต่างๆ การมี SLA ช่วยให้ธุรกิจ e-Commerce สามารถติดตามและวัดผลการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการกำหนดเมตริกการทำงานที่ชัดเจน ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นและความพึงพอใจที่เพิ่มขึ้น

3. ปกป้องทั้งร้านค้า และลูกค้า

อีกหนึ่งประโยชน์ของ SLA คือการช่วยปกป้องทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ข้อตกลงนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจที่ตรงกัน และเมื่อลูกค้าเผชิญปัญหา จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้ให้บริการได้ หากไม่มี SLA ผู้ให้บริการอาจปฏิเสธการมีข้อตกลงเกี่ยวกับความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างง่ายดาย และเช่นเดียวกัน ลูกค้าอาจเรียกร้องเพิ่มเติมแม้ว่าจะได้รับบริการที่ถูกต้องแล้ว 

จัดการกับ SLA อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

จัดการกับ SLA อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

การจัดการและปฏิบัติตาม SLA (Service Level Agreement) อย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้บริการและลูกค้า มาดูกันว่าจะสามารถจัดการกับ SLA อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรบ้าง

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SLA

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SLA (Service Level Agreement) สามารถทำได้โดยการศึกษาองค์ประกอบหลักของ SLA ซึ่งรวมถึงการกำหนดบริการที่มีให้ ซึ่งการศึกษาวัตถุประสงค์ของ SLA จะช่วยให้ทราบถึงความสำคัญและวิธีการที่ SLA ช่วยในการจัดการ และปฏิบัติตามมาตรฐานการให้บริการ

มอง SLA ในหลากหลายมิติ

การมอง SLA (Service Level Agreement) ในหลากหลายมิติสามารถทำได้โดยการพิจารณาข้อตกลงจากหลายมุมมอง เช่น มุมมองของธุรกิจที่ต้องการให้ SLA ตรงตามความต้องการ และเป้าหมายทางธุรกิจ รวมไปจนถึงมุมมองของผู้ให้บริการที่ต้องการประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความสามารถในการปฏิบัติตามข้อกำหนด 

ซึ่งการทำความเข้าใจจากหลายมิติช่วยให้เห็นภาพรวมของ SLA อย่างครบถ้วนและช่วยในการปรับปรุงและพัฒนา SLA ให้เหมาะสมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ทำตาม SLA ด้วยใจจริง

การทำตาม SLA (Service Level Agreement) ด้วยใจจริงสามารถทำได้โดยการสร้างความเข้าใจลึกซึ้งในข้อตกลงและวัตถุประสงค์ของ SLA อย่างแท้จริง ซึ่งรวมถึงการทบทวนข้อกำหนดและเป้าหมายร่วมกับทั้งผู้ให้บริการและลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการติดตามและประเมินผลการให้บริการตามมาตรฐานที่ตกลงไว้ โดยการใช้ข้อมูลจริงเพื่อปรับปรุงและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงจุด 

นอกจากนี้ ยังต้องมีการสื่อสารอย่างเปิดเผยและโปร่งใสเพื่อให้ทุกฝ่ายรู้ความคืบหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ทั้งผู้ให้บริการและลูกค้าได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากข้อตกลงนี้

อย่าให้ SLA มาบดบังวิสัยทัศน์การทำงาน

การหลีกเลี่ยงไม่ให้ SLA (Service Level Agreement) มาบดบังวิสัยทัศน์การทำงานสามารถทำได้โดยการรักษาความยืดหยุ่นในการปรับตัวและไม่ให้ SLA เป็นเพียงกรอบการทำงานที่คับแคบ ด้วยการตั้งเป้าหมายและข้อกำหนด SLA ควรสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ระยะยาวขององค์กร 

อีกทั้งต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงตามความจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กว้างขวาง เพราะการสื่อสารวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ SLA เป็นเครื่องมือที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายใหญ่ ไม่ใช่เพียงแค่ข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเท่านั้น

ข้อควรระวังเกี่ยวกับ SLA ในธุรกิจ e-Commerce

ข้อควรระวังเกี่ยวกับ SLA ในธุรกิจ e-Commerce

เมื่อพูดถึงการจัดการ SLA (Service Level Agreement) ในธุรกิจ e-Commerce ความเข้าใจและการระมัดระวังในการจัดทำและปฏิบัติตาม SLA เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก มาดูผลกระทบจากการโดนหักคะแนนจาก SLA ในแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนี้

การหักคะแนนบน Lazada

บนแพลตฟอร์ม Lazada การหักคะแนนจาก SLA (Service Level Agreement) อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ร้านค้าไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือบริการที่ตกลงไว้ เช่น การจัดส่งล่าช้า หรือคุณภาพสินค้าหรือบริการไม่ตรงตามที่โฆษณา การหักคะแนนนี้สามารถส่งผลกระทบต่อร้านค้าได้หลายประการ ซึ่งอาจรวมถึงทำให้การมองเห็นและโอกาสในการขายลดลง 

นอกจากนี้ คะแนนที่ต่ำยังสามารถลดความเชื่อมั่นของลูกค้าใหม่ในการเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้านั้น และอาจทำให้ร้านค้าพลาดโอกาสในการเข้าร่วมโปรโมชันหรือข้อเสนอพิเศษที่ Lazada จัดขึ้นอีกด้วย

การหักคะแนนบน Shopee

บนแพลตฟอร์ม Shopee การหักคะแนนจาก SLA (Service Level Agreement) อาจเกิดขึ้นเมื่อร้านค้าละเมิดข้อกำหนดที่ตกลงไว้ เช่น การจัดส่งสินค้าล่าช้า การไม่ตอบสนองลูกค้าอย่างรวดเร็ว หรือการให้บริการที่ไม่เป็นไปตามที่ได้สัญญาไว้ เป็นต้น การหักคะแนนจะทำให้ลดอันดับในผลการค้นหาบน Shopee ซึ่งทำให้สินค้าของร้านค้าไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น และลดโอกาสในการขาย 

นอกจากนี้ การมีคะแนนต่ำยังอาจทำให้ร้านค้าสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า และอาจพลาดโอกาสในการเข้าร่วมแคมเปญพิเศษที่ Shopee จัดขึ้น ทำให้ร้านค้าไม่สามารถเพิ่มยอดขาย หรือขยายฐานลูกค้าได้ตามที่คาดหวัง การรักษาคะแนน SLA ให้สูงจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างความเชื่อมั่นและการเติบโตในธุรกิจบน Shopee

การหักคะแนนบน TikTok Shop

การหักคะแนนจาก SLA (Service Level Agreement) บนแพลตฟอร์ม TikTok Shop สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อร้านค้าไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กำหนดไว้ เช่น การตอบลูกค้าช้าเกินไป การจัดส่งสินค้าช้าเกินกว่ากำหนด หรือแม้แต่เมื่อสินค้าต่างจากที่โฆษณาไว้ แน่นอนว่าเมื่อมีการหักคะแนน ก็จะส่งผลต่อร้านค้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของยอดขาย เพราะลำดับการค้นหาอาจถูกลดลง ซึ่งเป็นการลดการมองเห็นของลูกค้าด้วย 

นอกจากนี้ หากคะแนนร้านค้าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด อาจทำให้ร้านค้าไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมพิเศษต่างๆ จากทาง TikTok Shop ด้วยเช่นกัน 

ทั้งนี้ ข้อมูลของข้อกำหนด SLA (Service Level Agreement) ในแต่ละแพลตฟอร์มจะมีการอัปเดตข้อมูล และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบสนองการให้บริการได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้นผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการควรหมั่นศึกษาข้อมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยเช่นกัน

สรุป

SLA (Service Level Agreement) หรือข้อตกลงระดับการบริการ คือ เอกสารที่กำหนดระดับการบริการที่คาดหวังระหว่างผู้ให้บริการและลูกค้า รวมถึงมาตรฐานต่างๆ เช่น เวลาตอบสนองและการจัดส่งสินค้า SLA มีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์อย่างมาก เพราะช่วยสร้างความชัดเจนในความคาดหวังและเสริมสร้างความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งการจัดการ SLA อย่างมีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการเข้าใจวัตถุประสงค์ของ SLA, การมอง SLA ในหลายมิติ, และการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างจริงจัง เพื่อให้บริการเป็นไปตามความคาดหวัง

สำหรับธุรกิจ e-Commerce ที่ต้องการการจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ YAS มีบริการ WAREHOUSE & FULFILLMENT SERVICES ที่ครบครัน ทั้งในด้านคลังสินค้า ขนส่ง Fulfillment และโลจิสติกส์แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบริการ B2B, B2C และ B2B2C ที่มาพร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์ ด้วยคลังสินค้าที่มีมาตรฐาน เพราะมีกล้องวงจรปิด CCTV 24 ชั่วโมง และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และระบบการจัดการที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นระบบ OMS, WMS การจัดการสต๊อกสินค้า 

ซึ่งช่วยให้ร้านค้าออนไลน์หายห่วง และสามารถมั่นใจในความเร็วและความแม่นยำของการจัดส่งสินค้า เพราะการมีระบบที่ดีเช่นนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาคะแนน SLA และยังสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย